แสงกระสือ 2

แสงกระสือ 2

แสงกระสือ 2 ในปี 2562 ผู้กำกับโดม สิทธิศิริ มงคลศิริ ได้เอากระสือที่เคยถูกเล่าในรูปแบบหนังเกรดบีขายสายต่างจังหวัดมาตีความใหม่เป็นหนังก้าวข้ามวัย (Coming of Age) และใส่ความโรแมนติกผสานการแสดงของ แสงกระสือ 2 มินนี่ ภัณฑิรา พิพิธยากร นางเอกละครช่อง 7 ที่ก้าวมาแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกจนเกิดเป็นหนัง ‘แสงกระสือ’ กวาดคำชมแต่ไม่กวาดรายได้ทั้งที่คุณภาพของหนังจัดได้ว่าเป็นหนังไทยคุณภาพสูงเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ จนในที่สุดเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมาบริษัทหนังหน้าใหม่อย่างเนรมิตรหนังฟิล์มได้กำเนิดโปรเจกต์ ‘I Am Monster’ และสร้างเซอร์ไพร์สให้  หนังภาคต่อที่ทิ้งช่วงห่างมาราว 4 ปีอยู่ในโปรเจกต์นี้ด้วย ซึ่งเรื่องราวจะดำเนินต่อจากหนังภาคแรกภายใต้นักแสดงชุดใหม่และเรื่องราวใหม่ ๆ ที่ยังคงความเป็นแสงกระสือเดิมนั่นคือความโรแมนติกและความสยองขวัญ 22 ปีหลังเหตุการณ์กระสือสายบ้านโคกอีนวล น้อย (รับบทโดย กฤษดา แคลปป์) ได้พบรักใหม่และมีลูกสาวชื่อ สาว (รับบทโดย ชัญญา แม็คคลอรีย์) แต่เธอต้องมารับเชื้อกระสือจากผู้เป็นพ่อที่เคยจูบกับคนรักเก่า น้อยจำต้องพึ่งพายาของบาทหลวงออกัสติน (รับบทโดย โจ คัมมินส์) เพื่อควบคุมกระสือในตัวสาว ทำให้เธอได้พบกับคล้าว (รับบทโดย กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม) หนุ่มเผือกผู้มีพลังพิเศษแอบซ่อนอยู่แสงกระสือ" | Netflix แต่หลังจากสาวไม่สามารถควบคุมสัตว์ร้ายในตัวจนเกิดเหตุสยองกับสัตว์ป่าขึ้น สาวจำเป็นต้องหนีการตามล่าของพันธุ์ (รับบทโดย นพชัย ชัยนาม) ผู้รับงานจากนายทุนฝรั่งให้ตามล่ากระสือ โดยที่เขาเองก็มีความลับสุดอันตรายซ่อนอยู่ งานนี้สาวและคล้าวจำต้องเอาชีวิตรอดทั้งจากสัตว์ประหลาดในตัวของสาวและพันธุ์ให้จงได้ ใน เปลี่ยนมาใช้บริการผู้กำกับหนังโฆษณาอย่าง ปภังกร ปุนจันทรักษ์ ซึ่งก็แน่นอนว่ามุมมองงานภาพและโปรดักชันย่อมเนี้ยบเป็นธรรมดา และปภังกรดูจะให้ความสำคัญกับซีจีไอในหนังมากเป็นพิเศษถึงขนาดดีไซน์ฉากถอดหัวให้มีความหน่วงของการแสดงผสานกับงานซีจีเนี้ยบ ๆ และยังดีไซน์โมทีฟการเปลี่ยนร่างของสาวให้ออกมาในรูปแบบของไฟฟ้าที่บ้านของเธอกะพริบติด ๆ ดับ ๆ ได้อารมณ์หนังสยองขวัญฝรั่งมาก ๆ แต่แล้วองค์ประกอบดี ๆ หลายอย่างก็ดันมาสะดุดกับหัวใจหลักในการทำให้ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเป็นหนังที่ดีได้นั่นคือบทภาพยนตร์ ปัญหาสำคัญของ หากให้วิเคราะห์ออกมาแล้วน่าจะมีอยู่ 3 ประเด็นหลัก ๆ ทั้งตัวละครเยอะยุบยับแต่ไม่ค่อยมีประโยชน์ในการเล่าเรื่อง การไม่เล่าที่มาที่ไปของปรากฎการณ์หลายอย่างในเรื่อง รวมไปถึงมันให้เวลากับการพัฒนาตัวละครไม่เพียงพอ

ประเด็นแรกก่อนเลยสิ่งที่ทำให้ ‘แสงกระสือ 2’

ดูมีความน่าสนใจและให้ภาพที่ต่างจากหนังภาคแรกแจ่มชัดที่สุดคือการเดินเรื่องภายใต้สังคมสยามที่ฝรั่งเป็นใหญ่ เดาเอาว่าน่าจะเป็นยุคสงครามเวียดนามหรืออะไรเทือกนี้ โดยในหนังมี 2 ตัวละครสำคัญคือบาทหลวงออกัสตินและนายทุนฝรั่ง ซึ่งในกรณีของบาทหลวงออกัสตินยังมีที่ทางให้คือเป็นคนสกัดยาจากว่านกระสือและเป็นคนเลี้ยงดูคล้าว แต่ตัวนายทุนฝรั่งถูกใส่มาแบบงง ๆ ว่าจะมาเพื่ออะไร ต้องการกระสือไปทำโชว์หรืออะไรหรือไม่ ยิ่งในบทสรุปแล้วพอหนังจะดำเนินรอยตามหนังภาคแรก การมีอยู่ของนายทุนฝรั่งเลยกลายเป็นส่วนเกินโดยปริยาย นอกจากนี้หนังยังทำให้ตัวละครที่ดูเหมือนจะมีประเด็นสำคัญของเรื่องอย่าง อนันต์ ที่รับบทโดย ภูมิภัทร ถาวรศิริ โดยหนังปูให้ตัวละครอนันต์เป็นลูกบุญธรรมบาทหลวงออกัสตินและคอยดูแลคล้าวตั้งแต่เขายังเด็ก พอกลับมาไทยในฐานะนักวิจัยทางการแพทย์หนังยังไม่ให้โอกาสเขาในการแสดงสิ่งที่เรียนมาเลยจนน่าเสียดายที่แม้แต่ตัวละครที่ถูกสร้างมาน่าสนใจถูกทิ้งขว้างแบบนี้ ประเด็นต่อมาคือการไม่เล่าที่มาที่ไปของปรากฎการณ์ในหนัง ใช้เงื่อนไขต่างจากหนังภาคแรกเพราะในขณะที่เดิมหนังเล่าเรื่องในหมู่บ้านห่างไกลช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และมันเอาเรื่องความกลัวกระสือมาผูกโยงกับภาวะความเป็นอื่นของวัยรุ่น โดยมีผู้นำชุมชนและชาวบ้านที่ต้องการล่าแม่มดเป็นเงื่อนไขสำคัญของเรื่อง แต่ในหนังภาคนี้มันกลับเลือกตัดประเด็นดังกล่าวทิ้ง ซึ่งมองว่ากล้าหาญนะครับ แต่ในเมื่อตัวละครนายทุนฝรั่งเองหนังก็ไม่อธิบายว่ามาทำธุรกิจชั่วอะไรที่เมืองไทยบ้างนอกจากซื้อเด็กชาวเขาจากพ่อแม่ มิหนำซ้ำหนังยังไม่ได้อธิบายเลยว่านายทุนต้องการเอากระสือไปทำอะไร จะเอาไปโชว์ในงานวัดหรืออย่างไร หรือแม้แต่ตัวบาทหลวงออกัสตินเองก็ยังมีประโยคตอนท้ายที่เปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยจนทำผู้ชมงงไปตาม ๆ กัน และยิ่งไปกว่านั้นตัวละครอย่างพันธุ์ที่ดูน่าจะมีที่มาที่ไปกลับถูกจัดวางมาเหมือนตัวสลับเรื่องกับความรักระหว่างสาวกับคล้าว เพราะถึงแม้จะมีเรื่องประเด็นครอบครัวที่เขาต้องปกป้องหรือสัตว์ร้ายในตัว แต่หนังก็ให้พันธุ์ทำหน้าที่แค่มาล่ากระสือ ชักดิ้นชักงอ ไปรับงานสลับอดีตที่ไม่รู้ว่าใส่มาทำไมนอกจากจะอธิบายเรื่องอสูรในตัวของเขาเท่านั้นเองจนเสียดายฝีมือการแสดงของพี่ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม ที่อุตส่าห์ตีความตัวละครได้น่าสนใจหลายจุด มาถึงประเด็นสุดท้ายเรื่องพัฒนาการตัวละคร ที่แม้แต่ตัวละคร น้อย ที่รับบทโดยพี่น้อย กฤษดา เองเราก็ยังไม่รู้สึกว่านี่คือคนเดียวกับน้อยในหนังภาคแรก แม้การแสดงของพี่น้อยทำให้ตัวละครนี้มีมิติทั้งความผิดบาปที่ตัวเองเคยรับน้ำลายกระสือมาหรือความอ่อนล้าจากการที่ต้องเฝ้าสาวในยามวิกาลกระทั่งนำไปสู่บทสรุปสุดเดือดก็ยังมิอาจแบกหรืออุดช่องโหว่ให้หนังได้มากนักแสงกระสือ2 - Twitter Search / Twitter ยิ่งพอหนังจะพยายามขายเรื่องราวความรักระหว่างสาวกับคล้าว มันก็ดันถูกนำเสนอเหมือนหนังโฆษณาหรือมิวสิกวิดีโอไปซะอีก แม้ทั้งสองคาแรกเตอร์จะมีความน่าสนใจในมิติของตัวประหลาดและได้การแสดงดี ๆ จากนิ้ง ชัญญาและเจเจ กฤษณภูมิ แต่ในเมื่อหนังใส่มาแค่ฉากเดินตลาดที่ผู้คนมองพวกเขาด้วยสายตาเป็นอื่นเพียงเท่านั้น อุปสรรคความรักของทั้งคู่เลยดูเบาบางเกินไป ผิดกับรักสามเส้าระหว่างสาย น้อยและเจิดในหนังภาคแรกที่เต็มไปด้วยประเด็นสังคมการเมืองที่ชวนเจ็บปวดและใจสลายมากกว่า สรุปแล้ว ‘แสงกระสือ 2’ ถือเป็นหนังไทยเรื่องหนึ่งที่มีงานโปรดักชันและภาพรวมการแสดงที่น่าสนใจนะครับแถมงานซีจีต่าง ๆ ก็ดูตั้งใจยกระดับหนังไปอีกขั้น แต่เสียดายบทหนังที่ไม่ได้ถูกให้ความสำคัญมากพอเลยทำให้หนังออกมาดูแหว่งวิ่นภายใต้หีบห่อที่ดูสวยงามไปอย่างน่าเสียดาย

อ้อ ! หนังมีฉากหลังเอนด์เครดิต 1 ตัวนะครับเผื่อใครอยากเห็นการปูทาง Monsterverse ฉบับเนรมิตรหนังฟิล์ม

ยอมรับเลยว่าครั้งแรกที่ได้ยินว่าหนึ่งในหนังมอนสเตอร์ไทยที่เคยทำเอาไว้ได้ดีมาก ๆ กำลังจะมีภาคใหม่ ที่เป็นการสานต่อเรื่องราวจากต้นฉบับที่จัดได้ว่าอยู่ในจักรวาลเดียวกัน กลับมาอีกครั้งใน ที่มากับคอนเซ็ปต์ของตำนานผีสาวที่คนไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่มาผูกเข้ากับความรักที่มีความแตกต่างของสายพันธุ์ ที่เป็นทั้งรักที่ไม่น่าจะเป็นไปได้และรักที่แสนอันตรายระหว่างพวกเขา สำหรับในภาคนี้เล่าเรื่องราวหลังโศกนาฏกรรม “กระสือสายบ้านโคกอีนวล” ผ่านไป 22 ปี น้อย เลี้ยงดู สาว ลูกสาวที่ได้รับเชื้อกระสือ ทำให้ น้อยและ “บาทหลวงออกัสติน” ร่วมคิดค้นตัวยาที่สกัดจาก ว่านกระสือ เพื่อใช้ในการรักษา สาวได้พบกับ คล้าว โดยบังเอิญ บุตรบุญธรรมของบาทหลวงออกัสติน ที่มีความผิดปกติทางร่างกายแต่กำเนิด ความรักของสาวและคล้าวค่อย ๆ ผลิบานพอ ๆ กับเชื้อร้ายในตัวของสาวที่เริ่มออกอาการมากขึ้นทุกวัน นักลงทุนชาวต่างชาติที่ต้องการตัวกระสือสาว พันธุ์ อดีตทหารรับจ้างจึงถูกจ้างมาเพื่อไล่ล่า สาวจะรอดพ้นเงื้อมมือของพันธุ์ได้หรือไม่ ต้องถือว่า มาพร้อมกับการยกเครื่องครั้งใหม่ เพราะไม่ใช่แค่ทีมนักแสดงชุดใหม่แล้ว หนังยังมีพร้อมกับทีมผู้สร้างชุดใหม่เช่นเดียวกัน นำมาโดย “ปภังกร ปุญจันทรักษ์” ที่เราอาจจะไม่คุ้นชื่อเขาสักเท่าไหร่ในวงการภาพยนตร์ เพราะเขาเป็นผู้กำกับหนังโฆษณาที่เพิ่งก้าวขึ้นมาจับงานสร้างหนังไทยเรื่องยาวเป็นครั้งแรก แล้วงานเดบิวต์ของเขาก็ต้องรับแรงกดดันไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะมีทั้งความหวังจากคอหนังที่ชอบภาคแรก กับงานสร้างสเกลใหญ่ขึ้นจากงานโฆษณา ซึ่งก็ต้องบอกเลยว่า งานกำกับของ ดี้ ปภังกร ค่อนข้างทำออกมาได้น่าพอใจ ในงานการใส่ใจรายละเอียดและความพิถีพิถันในด้านการออกแบบโปรดักชั่น โดยเฉพาะการสร้างบรรยากาศในหนัง ถือว่าเหมาะเจาะกับการภาพและการจัดแสงสีในหนังเป็นอย่างดี พยายามช่วยบิวท์อารมณ์ผู้ชมได้เรื่อย ๆ ก็ใช้องค์ประกอบธรรมชาติและแวดล้อมต่าง ๆ มาเสริมแต่ง นับว่าหนังถ่ายทอดออกมาได้ค่อนข้างดีทีเดียว ละมุนละไมกับงานสร้างที่ใช้ได้ แต่ดูเหมือนว่า…นั่นอาจจะเป็นเพียงองค์ประกอบเดียวที่ดีของหนังเรื่องนี้ เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ก็ยังค่อนข้างล้มเหลวในการนำเสนอ เพราะเอาเข้าจริง ๆ หนังที่ยาวถึง 2 ชั่วโมงเรื่องนี้ ร้อยเรียงเรื่องราวผ่านไปชั่วโมงเศษ ๆ แล้วก็ยังไม่สามารถจับประเด็นและมองเห็นสิ่งที่หนังต้องการอยากจะสื่อสารออกมาได้ในเรื่องนี้ได้อย่างเด่นชัด บทหนังของ เป็นได้ซับซ้อนและยากเกินจะเข้าใจ แต่หนังดันมาตกม้าตายเพราะการเล่าเรื่องที่ไร้เสน่ห์และไร้จุดโดดเด่นใด ๆ ตลอดทั้งเรื่อง ไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน ไม่มีที่มาที่ไปของตัวละครต่าง ๆ ออกจะน่าเสียดายอยู่ไม่น้อยที่เห็นในเครดิตหนังเรื่องนี้ว่ามีทีมเขียนบทมากถึง 4 คน แต่ยังไม่สามารถประคับประคองและจัดระเบียบหนังออกมาได้ยังไม่เฉียดเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบ อาจจะต้องไม่นำไปเปรียบเทียบกับหนังต้นฉบับเลยก็ได้ เพราะสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า…เทียบกันไม่ติด ในขณะที่ภาคก่อนเต็มไปด้วยเสน่ห์และการร้อยเรียงเรื่องที่น่าหลงใหลเป็นจุดเด่น แต่กลับใน ภาคนี้นั้น หาสิ่งที่เคยเห็นจากหนังต้นฉบับไม่เจอเลย ความพยายามสร้างมิติให้กับคาแรกเตอร์ใหม่ในภาคนี้ก็ล้มเหลว เพราะขาดการปูทางและความสมเหตุสมผลที่ควรจะมีไปอย่างน่าผิดหวัง ezpark