ขุนพันธ์ 3
ขุนพันธ์ 3 เราดูและเขียนรีวิวหนัง “ขุนพันธ์” ตั้งแต่ภาคแรก จนเดินทางมาสิ้นสุดไตรภาคขุนพันธ์วันนี้ ต้องบอกเลยว่า หนังมันพัฒนาขึ้นทุกภาคจริง ๆ เหมือนกับว่า คุณก้องเกียรติ โขมศิริ รับคำวิจารณ์ทั้งข้อดีและข้อเสียไปใช้ปรับปรุงในการกำกับหนังเรื่องต่อ ๆ ไปของเขาจริง ๆ

เราคิดว่า หนังของคุณก้องเกียรติเป็นหนังไทยที่เป็นอนาคตของอุตสาหกรรมหนังไทย อย่างแรกคือความสร้างสรรค์ ที่ไม่ได้พาคนดูวนเวียนอยู่กับหนังไทยที่เป็นแค่หนังรัก หนังผี หนังตลก หรือหนัง/ละครที่รีเมครอบแล้วรอบเล่า เช่น “ขุนแผนฟ้าฟื้น” (2019) ก็ทำให้วรรณคดีไทยเข้าถึงได้สำหรับคนรุ่นใหม่มากขึ้น หรืออย่างไตรภาคขุนพันธ์นี้ ก็ทำเป็นหนังแอ็คชั่นที่แปลกใหม่สำหรับหนังไทย มีความจักรวาล Avengers มีความเอาเรื่องที่ดูโบราณคร่ำครึ อย่างเช่น คาถาอาคม มาทำให้แฟนตาซีและน่าสนใจขึ้น
ขุนพันธ์ 3 นอกจากนี้ยังสอดแทรกประเด็นการเมืองและระบอบสังคมได้อย่างแยบยล
ขุนพันธ์ 3 นี้ เสมือนงานส่งท้าย (แต่ไม่ท้ายสุด… มั้ง?) ของแฟรนไชส์นี้ ที่ปล่อยของกันแบบไม่ยั้ง แอ็คชั่นแน่น มาครบทั้งปืนผาหน้าไม้ มีดดาบ อาคม จระเข้ ซอมบี้ ฯลฯ แฟนตาซีแบบจัดเต็มเท่าที่ทำได้ ถ้าพูดภาษาโป๊กเกอร์ก็คือ “All-in” ในส่วนของซีจี มันก็มีลอย ๆ อยู่บ้าง แต่โดยรวมเขาทำดี เอาจุดเด่นมากลบจุดด้อยได้หมด หนังมันพาไปสุดเหมือนลืมใส่เบรค
แฟรนไชส์ขุนพันธ์สร้างจากชีวประวัติของพลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช (บุตร พันธรักษ์) อดีตนายตำรวจชื่อดังที่ปราบเสือตามภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทยมาตั้งแต่ยุคสงครามโลก แต่หนังไม่ได้เล่าในเชิงอัตชีวประวัติหรือหนังอิงประวัติศาสตร์ทั่วไป หากแต่ใส่ความแฟนตาซีลงไป
ในทุก ๆ ภาค เหล่าเสือก็จะมีวิชาอาคมเช่นเดียวกับท่านขุน ซึ่งถ้าเป็นหนังไทยสไตล์เก่า คนรุ่นใหม่ก็อาจจะมองว่าของแบบนี้มันเชย งมงาย ล้าหลัง เพ้อเจ้อ ไร้สาระ ฯลฯ แต่คุณก้องเกียรติทำให้ของเหล่านี้มันทันสมัย มีเสน่ห์ ตื่นเต้น และน่าติดตาม เหมือนดูหนังเวทมนตร์คาถา Harry Potter หรือดู Scarlet Witch กับ Dr. Strange แห่งจักรวาล Marvel
โดยในหนังภาคแรก ท่านขุน (อนันดา เอเวอริงแฮม) ไปปราบโจรแดนใต้… จอมโจรอัลฮาวียะลู (พี่น้อย-วงพรู) ในภาคต่อมา ท่านขุนไปปราบโจรภาคกลาง เสือฝ้าย (ผู้พันเบิร์ด วันชนะ) และ เสือใบ (เป้ อารักษ์) ส่วนในภาค 3 นี้ ท่านขุนต้องปะทะกับเสือมเหศวร (มาริโอ้ เมาเร่อ) และเสือดำ (โตโน่ ภาคิน) ซึ่งในภาคสุดท้ายนี้ อาคมของท่านขุนเริ่มเสื่อมนิด ๆ และก็เริ่มมีบ่วง (ครอบครัว) แล้วด้วย
ภาค 3 นี้ เหมือนหนังรวมดาว
ตัวละครเยอะ คนมาเยอะก็ทำได้สมมง ส่วนคนมาน้อยก็ถือว่าน้อยแต่มาก แต่ละคนล้วนได้มีซีนน่าจดจำ… จนบางทีก็ดูพยายามไปหน่อยที่จะให้ทุกคนมีซีนของตัวเอง เช่น ฉากที่หมอสา (ฟ้า ษริกา) ปะทะจระเข้ มีช่องโหว่ มีจุดที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่ แต่คนดูก็ให้อภัยได้แหละ เพราะฉากจระเข้ไม่กี่นาทีในเรื่องนี้มันสนุกกว่าหนังไทยเรื่องหนึ่งที่เอาพระเอกไปอยู่กับจระเข้ทั้งเรื่องนั่นอีก
ส่วนคู่ปรับของท่านขุนในภาคนี้ เราคิดว่าถ้าเราตัดอคติออกไป โตโน่คือเล่นดีเลย เด่นกว่ามาริโอ้ด้วยซ้ำ แต่ MVP จริง ๆ ของภาคนี้ สำหรับเราคือ เอม ภูมิภัทร ที่รับบทเทพทัต นายทหารหนุ่มอนาคตไกล (ซึ่งหลัง ๆ มา สำหรับเรา เอมก็ MVP แทบทุกเรื่อง และเหมือนหนังไทยที่กำลังทยอยตามมาในปีนี้ แทบทุกเรื่องมีชื่อเอมร่วมเล่นทั้งสิ้น)
สำหรับเรา ขุนพันธ์ 3 เป็นหนังไทยแห่งปี (และในรอบหลายปี) เป็นตัวแทนหมู่บ้าน เป็นอนาคตและหน้าตาของอุตสาหกรรมหนังไทย คนไทยควรสนับสนุนอย่างยิ่ง ซึ่งรับประกันว่าคนดูจะไม่ใช่แค่คุ้มค่าตั๋วเท่านั้น เพราะเซอร์ไพรส์แน่น และใส่ไม่ยั้งเหนือความคาดหมาย… เรียกว่ากำไรคนดูแน่นอน โดยเฉพาะสำหรับคอหนังไทยและหนังแอ็คชั่น สนุกจริง ไม่ใช่อุปาทานหมู่ ต้องดูในโรง!
การเดินทางมาถึงฉากสุดท้ายของไตรภาคศรัทธาและอาคมของผู้กำกับ โขม-ก้องเกียรติ โขมศิริ อย่างภาพยนตร์ลำดับล่าสุด ขุนพันธ์ 3 (2023) ที่หลังเข้าฉายไม่กี่วันก็พ่วงมาด้วยดราม่าชวนปวดใจว่าด้วยการโดนลดโรงลดรอบอันเป็นปัญหายืดเยื้อยาวนานของอุตสาหกรรมหนังไทย
หลังจากทั้งห่างภาคสองเมื่อปี 2018 ถึง 6 ปี ขุนพันธ์ก็หวนกลับมาใหม่อีกครั้งในฐานะชายผู้หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบที่นครศรีธรรมราช สร้างครอบครัวกับภรรยาที่กำลังตั้งท้องลูกชายคนแรก ก่อนจะพบว่าเขาถูกเรียกกลับเข้าไปรับภารกิจเกี่ยวเนื่องกับรัฐ กองโจรและอาคม ท่ามกลางศรัทธาที่สั่นคลอนทั้งต่อตัวเองและหน้าที่
นับตั้งแต่ภาคแรกเมื่อปี 2016 หนัง ‘ขุนพันธ์’ ดัดแปลงจากชีวิตจริงของ ขุนพันธรักษ์ราชเดช หรือ บุตร พันธรักษ์ ก็ใช้การเมืองและความขัดแย้งระหว่างรัฐกับคนชายขอบเป็นธีมใหญ่ที่คลุมฉากหลังทั้งหมด
ขุนพันธ์ (อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) ในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับราชการให้ส่วนกลาง และการปะทะกับ อัลฮาวียะลู (กฤษดา สุโกศล แคลปป์) หัวหน้ากองโจรผู้หวังแบ่งแยกดินแดน และภาคสองซึ่งว่าด้วยภาวะที่ขุนพันธ์สิ้นหวังในราชการไทยทั้งยังโดนหักหลัง ถูกสั่งให้พักราชการจนต้องไปเข้าร่วมกับ เสือใบ (อารักษ์ อมรศุภศิริ) และ เสือฝ้าย (วันชนะ สวัสดี) ซึ่งเปลี่ยนสถานะให้ขุนพันธ์กลายเป็นโจรเสียเอง
เหตุผลที่เล่าเรื่องย่อทั้งสองภาคก่อนหน้ามาเสียยืดยาวเช่นนี้
ก็เพราะหนังภาคก่อนล้วนแล้วแต่มีบทบาทในภาคสาม เสียจนเชื่อว่าหากได้ดูสองภาคก่อนหน้าแล้วมาดูภาคสามด้วย ก็น่าจะกำซาบอรรถรสในการ ‘ทิ้งทวน’ ของไตรภาคขุนพันธ์และผู้กำกับได้เป็นอย่างดี (กระนั้น แม้ผู้อ่านจะยังไม่เคยดูสองภาคก่อนหน้าและข้ามมาดูภาคสามเลย อรรถรสดังกล่าวก็ไม่ได้ลดลงสักกี่มากน้อย เพราะลำพังหนังภาคสามก็ทำงานได้หมดจดในตัวของมันเองอยู่แล้ว ดังที่จะเล่าต่อไปนี้)
ขุนพันธ์ 3 เล่าถึงช่วงเวลาที่ขุนพันธ์ตั้งใจจะวางมือจากทุกสิ่งเพราะเหนื่อยหน่ายจากความไม่ได้เรื่องของราชการเต็มทน ยิ่งกับสภาพสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงทั้งการเมืองระหว่างประเทศและการเมืองในประเทศ
![รีวิว] ขุนพันธ์ 3 - แม้บทมั่วแหลกแต่แอ็กชันจัดเต็ม - #beartai](https://assets.beartai.com/uploads/2023/02/cover2.jpg)
เมื่อเหล่านักการเมืองผู้พยายามซื่อตรงภายใต้กติกาอันบิดเบี้ยว ถูกลอบทำร้ายและตั้งใจจะหมายชีวิตจากกลุ่มคนร้าย ไหนจะการปรากฏตัวของ เสือดำ (ภาคิน คำวิลัยศักดิ์) ไอ้เสืออาคมดุที่ดูจะมีความแค้นฝังลึกกับขุนพันธ์เป็นการส่วนตัว และ เสือมเหศวร (มาริโอ้ เมาเร่อ) จอมโจรที่ต้องผูกมิตรกับเสือดำไว้เพื่อหวังต้านการบุกรุกจากรัฐ กับอีกด้านหนึ่งของชีวิตที่เขารับหน้าที่เป็นนักหนังสือพิมพ์ตัวฉกาจ
ดังนั้น แผนจะใช้ชีวิตในเมืองคอนอย่างสงบสุขกับเมียรักของขุนพันธ์จึงดูจะเป็นไปได้ยาก เพราะในที่สุดราชการก็มาตามตัวเขาถึงนครศรีธรรมราชอยู่ดี พร้อมกับข้าราชการหนุ่มน้อย ร้อยเอกทัตเทพ (ภูมิภัทร ถาวรศิริ) ที่ถูกสั่งให้มาร่วมปฏิบัติภารกิจนี้อย่างแข็งขัน
ไล่เรียงไปกับบริบทของการเมืองไทยร่วมสมัย หนังขุนพันธ์ 3 ตั้งคำถามต่อศรัทธา ทั้งในฐานะศรัทธาของขุนพันธ์ที่มีต่ออาชีพพิทักษ์สันติราชของตนต่อข้าราชการและต่อรัฐไทย ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลดูเป็นความกังวล ความไม่เชื่อมั่นและความสั่นคลอนที่ผู้คนในปัจจุบันร่วมรับรู้อยู่ อันสะท้อนได้จากบทสนทนาของเหล่านักการเมืองที่พยายามเดินหน้าเรื่องการเมืองอย่างซื่อตรงท่ามกลางกติกาอันบิดเบี้ยว
เหล่าหนุ่มสาวในชุมโจรที่เป็นกลุ่มคนซึ่งถูกรัฐเผด็จการทอดทิ้ง เฝ้าฝันถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากปราศจากการต่อสู้ของพวกเขา,เหล่าคนชายขอบที่ถูกหลอกให้ไปทำงานจนตายในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อให้อยู่รอดชีวิตตั้งแต่แรก เพื่อที่จะได้เอาเงินเข้ากระเป๋านักการเมือง
ข้าราชการที่ทำงานรองมือรองตีนให้รัฐโดยไม่เคยปริปากถามถึงความถูกต้อง หวังแต่จะก้มหน้าเป็นงัวงานเพื่อความอยู่รอดและอำนาจของตัวเอง ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทั้งหมดทั้งมวลนี้แทบจะซ้อนทับไปกับสภาพของสังคมไทยปัจจุบัน (โดยเฉพาะช่วงใกล้ระยะเลือกตั้งในเวลานี้) อันเต็มไปด้วยความแหลมคมทางการเมืองเต็มพิกัด
หากว่าขุนพันธ์ภาคก่อนๆ ‘แน่จริง’ เพราะมีคาถาอาคมหนังเหนียวยิงไม่เข้า ภาคนี้เขาก็กลายเป็นชายวัยกลางคนที่เหนื่อยล้าอยากวางมือ ถูกฝันร้ายของการปราบปรามคนชั่วในนามของรัฐหลอกหลอนจนอยู่ไม่สุข ครั้นจะออกไปต่อสู้แบบเดิมก็พบว่าทำเช่นนั้นไม่ได้แล้วเพราะเขาล่าช้าเกินไป อาคมเสื่อมเกินไป (ลำพังแค่กลสะเดาะกลอน เขาก็ต้องใช้เวลาหลายนาทีเพื่อพาตัวเองออกจากคุกของชุมโจร)
ชื่อเสียงที่ว่าเขาเป็นยอดชายฟันแทงไม่เข้าเริ่มเสื่อมสภาพเมื่อลูกกระสุนของเสือดำ (ผู้เป็นคู่แค้นทั้งเขาและของรัฐ) เจาะเข้ากลางร่างจนต้องหามส่งโรงพยาบาล ขณะที่ตัวละครอื่นๆ ที่มาพร้อมอาคมสุดแข็งแกร่ง เอาเข้าจริงกลับดูมีจุดอ่อนซ่อนอยู่โดยเฉพาะเสือดำกับเสือมเหศวรที่มีอาคมปัดเป่ากระสุนจากฝั่งตรงข้าม ก็เป็นอาคมที่กันได้แค่เพียงกระสุนที่ตาเห็นเท่านั้น เท่ากับว่าหากกระสุนถูกยิงมาจากด้านหลังก็กลายเป็นใช้กายเนื้อรับเต็มๆ
สิ่งที่น่าจับตาอีกประการคือ ท่ามกลางความอ่อนไหวของแวดวงภาพยนตร์ไทยที่มีต่อประเด็นทางศาสนา ขุนพันธ์ 3 ก็เล่าเส้นเรื่องศาสนาและความเชื่อได้อย่างน่าจับตา ทั้งการปรากฏตัวของเหล่าพระที่เป็นผู้ช่วยลับๆ ของขุนพันธ์ในการลงอาคม ล้วนแล้วแต่สวดอ้อนวอนขอพลังจากเทพเจ้าซึ่งแน่นอนว่าไม่ปรากฏในคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือพระไตรปิฎกฉบับไหน หรือบทบาทในการช่วยหญิงทำคลอดอย่างแข็งขันอันแสนจะฉายให้เห็นภาพความเป็นมนุษย์ มีเลือดมีเนื้อ มีหัวใจของเหล่าพระสงฆ์ได้ดีเสียยิ่งกว่าภาพความผ่องแผ้วที่รัฐไทยปรารถนาสร้างให้เป็นไม่รู้ตั้งกี่เท่า ศาสนาจึงผนวกเป็นเส้นเดียวกันกับความเชื่อของขุนพันธ์อย่างแยกไม่ขาด
จุดแข็งของหนังไตรภาคขุนพันธ์คือการที่มันเป็นเสมือนหนังซูเปอร์ฮีโร่สัญชาติไทยเต็มไปด้วยการใช้พลังวิเศษ คาถาอาคมและฉากการต่อสู้ดุเดือดชั้นยอด และกับภาคสุดท้ายนี้ยิ่งเดือดดาลกว่าเดิม เพราะนอกเหนือจากจะให้มันเป็นหนังแอ็กชันเลือดพล่านแล้ว ผู้กำกับยังปรารถนาให้มันเป็นทั้งหนังผี หนังดราม่า ไปจนถึงใส่ความคอมิดี้เข้าไปด้วย (โดยเฉพาะการเข้าฉากปะทะคารมของเสือมเหศวร)
ตลอดความยาวเกือบสองชั่วโมงครึ่ง ขุนพันธ์ 3 จึงเต็มไปด้วยรสชาติหลากหลาย ที่ยิ่งตอกย้ำว่าหนังไทยยังหลากรสชาติกว่านี้ได้อีกมากหากมันมีพื้นที่ทั้งในเชิงรอบฉาย ในเชิงโอกาสจากการหาทุน และมันไม่ได้ง่อยเปลี่ยนเสียขา ไม่ได้ไร้ศักยภาพอันเป็นอคติที่หลายคนมีต่อหนังไทยเลย
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายเหลือเกิน หากว่าระบบผูกขาดและโรงหนังยังมีอิทธิพลในการจัดรอบฉายหนังตามอำเภอในเช่นนี้อยู่ เพราะมันย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือหนึ่งในการขัดแข้งขาและเหนี่ยวรั้งศักยภาพของหนังไทย จนทำให้หนังหลายต่อหลายเรื่องไปได้ไม่ไกลเท่าที่ควร
คิดจะพัก-หนังภาคต่อ ส่วนมากจะมีส่วนใหญ่บอกว่า สู้ภาคแรกๆไม่ได้แต่ ประโยคนี้นำมาใช้กับ ขุนพันธ์3 ไม่ได้ นับเป็นหนังภาคต่อที่สนุกขึ้นมาเรื่อยๆจนอยากให้มีภาคต่อไปอีกว่าจะสนุกขนาดไหน ถึงแม้ว่าผู้กำกับบอกว่า อาจไม่มี ขุนพันธ์4 แล้วก็ตาม
เรื่องย่อแต่ไม่สปอย
ในปีพ.ศ.2493 บ้านเมืองได้รับผลกระทบจากสงคราม ชุมโจรเสือร้ายยังคงชุกชุมไปทั่วทุกหนแห่ง ขุนพันธ์ นายตำรวจมือปราบผู้ยึดมั่นในความถูกต้องจึงถูกเรียกกลับมาปฏิบัติภารกิจล่าตัว 2 เสือร้ายอาคมกล้าที่กำลังฮึกเหิมและท้าทายอำนาจรัฐ โดยที่ไม่เคยมีใครเข้าถึงตัวได้ นำไปสู่การหวนเหยียบถิ่นเสืออีกครั้งของขุนพันธ์ ท่ามกลางเหล่าเสือร้ายที่หมายเอาชีวิต และพร้อมพิพากษามือปราบคงกระพันด้วยความตาย
การจับตาย 2 เสือชื่อดังอย่าง เสือมเหศวรและเสือดำ
ครั้งนี้อาจไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ขุนพันธ์จะสามารถบรรลุภารกิจท้าทายศรัทธา และเผชิญหน้าเหล่าเสือร้ายที่มีทั้งอาคมและ ความคงกระพันได้หรือไม่….หรือถึงเวลาแล้วที่ครั้งนี้ มือปราบหนังเหนียวอย่างขุนพันธ์จะกลายเป็น “ผู้ถูกล่า” เสียเอง
อนันดา เอเวอริงแฮม กลับมาพร้อมกับภารกิจครั้งใหม่ที่นอกจากต้องต่อกรกับเหล่าเสือร้ายชื่อดัง แห่งภาคกลาง เรายังจะได้เห็นการพัฒนาของตัวละครนี้ในอีกมิติหนึ่งที่จะทำให้ผู้ชมได้เข้าถึงอีกด้านของตัวละครขุนพันธ์
“10 ปี ของชีวิตผม คือตัวละครขุนพันธ์ 1 ใน 4 ของชีวิตผมที่อยู่กับตัวละครตัวนี้ จนกลายเป็นส่วนหนึ่ง ของผมไปแล้ว ขุนพันธ์ยังเต็มไปด้วยความดุดัน เราจะได้เห็นแง่มุมในหลากหลายมิติของตัวละคร ในแง่ความ เป็นมนุษย์คนหนึ่ง มีเลือดเนื้อ เป็นภาคที่เราจะได้เห็นด้านมนุษย์ที่สุดของท่านขุน แน่นอนว่าในความเป็น
หนังขุนพันธ์ ความเดือด แอ็กชัน จัดเต็มในงานสร้างโปรดักชันไม่ขาดหาย แต่พอตัวเรื่องดำเนินมาถึงภาค 3 ทำให้โลกและจักรวาลของขุนพันธ์สามารถขยายขอบเขตและสร้างความซับซ้อนและล้ำลึกขึ้นไปได้อีก”
โดยในภารกิจจับตายเสือ 2 คนสุดท้าย คู่ต่อกรคนสำคัญที่ขุนพันธ์จะต้องปะทะความเดือดในครั้งนี้ ได้ 2 นักแสดงหนุ่ม มาริโอ้ เมาเร่อ พลิกบทบาท มาสวมชีวิตเป็น เสือมเหศวร และ โตโน่ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ สวมจิตวิญ ญาณเป็น เสือดำ ออกมาชนิดที่ว่าตรงตามจินตนาการ และการตีความของผู้กำกับ โขม ได้ทุกอณูสมความตั้งใจ
“เสือดำตัวละครที่มีความบิดเบี้ยวในจิตค่อนข้างเยอะคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเป็นอีกด้านหนึ่งของ อัลฮาวียะลู ผู้ตกอยู่ในหลุมที่ไม่มีก้นบ่อแล้วมันขึ้นมาไม่ได้ สิ่งหนึ่งที่เขายึดถือมาตลอดคือสัจจะในหมู่โจร ซึ่งเสือดำก็คือดิน เขียนอักขระลงบนดิน แล้วใช้ดินซัดสาดกระสุนไป จึงเป็นความหนักความแน่น ถ้ามเหศวรเป็นลม เสือดำก็คือดิน สภาพโตโน่มันก็คือดิน คือยับเยิน ดุเดือด มันอำมหิต มึงฆ่ากูหนึ่งคน กูจะฆ่ามึงคืน 10 คน และจะค่อยๆฆ่ามึงด้วย ในขณะที่เสือมเหศวรของมาริโอ้คือจารชน 2 หน้า มี 2 บุคลิก พลิ้วไหว เป็นนักปล้นที่เก่งมาก ฉลาดมาก ซึ่งมาริโอ้มีเคมีเหล่านี้อยู่”
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนหนุ่มมาริโอ้ได้ขยายให้เห็นถึงแง่มุมของคาแรกเตอร์ เสือมเหศวร ที่ได้รับและตั้งใจ ถ่ายทอดออกมาในตัวเสือเจ้าเสน่ห์ตัวนี้ได้อย่างน่าสนใจ
“มเหศวรคือ เสือหนุ่มหัวหน้ากลุ่มเชิ้ตขาว คือคู่ปรับคนสำคัญของ ขุนพันธ์ ที่เข้ารวมกับกลุ่ม 4 เสือภาคกลาง คือคนรุ่นใหม่ที่ไม่ชอบความเหลื่อมล้ำ เป็นเสือที่ฉลาดและเต็มไปด้วยไหวพริบ ว่องไว เหมือนลิงลม พกพระมเหศวรไว้ตลอด มีคาถาเบี่ยงกระสุนได้ บทนี้จะต้องปลอมตัวเปลี่ยนชุดตลอดเวลา เป็นคาแรกเตอร์ที่มีความหลากหลาย และท้าทายตัวผมเองมากๆ”
ในขณะเดียวกันเราจะได้เห็นการปรับเปลี่ยนตัวเอง และดำดิ่งเข้าสู่ด้านมืดอย่างเต็มรูปแบบของโตโน่ ในบทเสือ ดำที่เชื่อว่าทุกคนจะคาดไม่ถึง
“เสือดำคือเสือตัวสุดท้าย ที่มีความชัดเจน ตรงไปตรงมา มีศักดิ์ศรี รักพวกพ้อง สักหนุมานที่หน้าอก แขนข้างซ้ายเป็นเสือ มีอาวุธคู่ใจคือ ลูกซองสั้น มีปืนคู่ ฟันก็จะดำเพราะดูดฝิ่นเยอะ แต่จุดเด่นจะมีฟันทอง 2 ซี่ การทำงานครั้งนี้มันทำให้ผมรู้เลยว่านี่คืองานที่ผมพร้อมจะแลกทุกอย่าง เหงื่อที่ผมมี เลือดที่ผมมี งานแบบนี้ แหละที่เราพร้อมจะไปสู้กับทั่วโลกเขา”
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีอีก 2 นักแสดงรุ่นใหม่ไฟแรงที่เข้ามาร่วมสร้างความสมบูรณ์แบบเพื่อปิดไตรภาคในครั้งนี้ นั่นคือ ฟ้า ษริกา สารทศิลป์ศุภา นักแสดง, ยูทูปเบอร์สุดฮอต และ สาวอินดี้จาก “ฮาวทูทิ้ง…ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ” พลิกบทบาทมาถือปืนและเข็มฉีดยาในบท “สาวิตรี” หมอสาวผู้เป็นดั่งดอกฟ้าในชุมเสือ อ่อนโยน และแข็งแกร่ง ไม่แพ้เหล่าบรรดาเสือร้าย
“สาวิตรีเป็นหมอที่รักจรรยาบรรรณในการเป็นหมอ มีความเมตตาสูง เขารักษาทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนดี คนจน คนเลว คนชั่วก็รักษา ถูกกองโจรลักพาตัว จับพลัดจับผลูที่ต้องอยู่รวมกับเหล่าชุมโจร เป็นบทที่เรียก ได้ว่าสาหัสสากรรจ์ เกิดมาหนูก็ยังไม่เคยเล่นอะไรที่มันโหดร้ายแบบนี้ ล้มลุกคลุกคลาน ลุยกันเต็มที่”
และอีกหนึ่งตัวละครสำคัญ นั่นคือ ร.อ.ทัตเทพ นายทหารหนุ่มอนาคตไกล เลือดใหม่ของกองทัพที่เปรียบ ดั่งมือขวาของขุนพันธ์ที่ถูกส่งให้มาร่วมในภารกิจจับตาย 2 เสือในครั้งนี้ ที่ได้ เอม ภูมิภัทร ถาวรศิริ (ONE FOR THE ROAD, นคร-สวรรค์ , อาชญาเกม) นักแสดงหนุ่มรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองมากที่สุด ที่ผกก.โขมถึงกับการันตีว่า คือนัก แสดงรุ่นใหม่มากฝีมือที่ดีทั้งดราม่า และแอ็กชัน แสดงได้อย่างเหนือความคาดหมาย
“ทัตเทพ เป็นนายทหารหนุ่มรุ่นใหม่อนาคตไกล เขาเติบโตมากับวีรกรรมของขุนพันธ์ตั้งแต่เด็ก แต่เขาจะไม่เชื่อเรื่อง วิญญาณ เวทมนตร์คาถา เขาเชื่อในเรื่องยุทธวิธีการสงครามมากกว่า สิ่งที่เขาเชื่อมั่น ในการทำภารกิจคือ ไม่เลือกวิธีการ ที่จะทำให้งานสำเร็จ สามารถใช้อาวุธได้ทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นปืน สั้นปืนยาว อาวุธหนัก อาวุธเบา สามารถใช้ได้หมด”
เตรียมพบกับบทบาทครั้งสำคัญของนักแสดงทั้ง 5 ที่จะมาร่วมสร้างปรากฏการณ์ความยิ่งใหญ่บนแผ่นฟิล์ม พร้อมทีมงานและนักแสดงกว่า 300 ชีวิต ในภารกิจพิพากษาทุกอาคม ถล่มทุกความคงกระพัน ใน ขุนพันธ์ 3 สู่วันพิพากษา 1 มีนาคม ในโรงภาพยนตร์ไม่ดูไม่ได้แล้ว
ezpark